วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

Burlesque : บาร์รัก เวทีร้อน (review)

Burlesque (review)

หรือ ชื่อไทยว่า บารัก โอบาม่า (โป๊ะตึ่ง!) เอ้ย.. บาร์รัก เวทีร้อน ก่อนอื่นต้องท้าวความถึงชื่อเรื่องกันก่อนว่า Burlesque คืออะไร ถ้าแปลตามพจนานุกรมแล้ว มีความหมายว่า การล้อ การแสดงล้อเลียน แถ้ถ้าแปลให้ดูมีความรู้มากไปกว่านี้อีกนิดนึง จากสารานุกรมเสรีแล้ว Burlesque คือ การสร้างความบันเทิงรูปแบบต่างๆ ที่เน้นความตลกโปกฮาเป็นหลัก โดยการล้อเลียน หรือ เล่นอะไรที่เกินความเป็นจริง นั่นคือความหมายแรกของ Burlesque

ต่อมาในอเมริกาศตวรรษที่ 20 การรับรู้ของผู้คนเกี่ยวกับ Burlesque ได้เปลี่ยนไป โดยกลายเป็นการแสดงที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับระบำเปลื้องผ้าเป็นหลัก ถึงแม้ว่าจุดกำเนิดของการแสดงเปลื้องผ้าจะอยู่ที่ Moulin Rouge ก็ตาม ชาวยุโรปจึงถือว่า Burlesque เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงเปลื้องผ้าเท่านั้น แต่ไม่ใช่สำหรับชาวอเมริกัน ชาวอเมริกันพัฒนาการแสดงรูปแบบนี้จนมีลักษณะเฉพาะ ส่วนใหญ่ใช้นักแสดงที่เป็นผู้หญิง การแสดงมีโครงเรื่อง มีจุดเด่นของตัวละคร เสื้อผ้าที่ใช่จะต้องฉูดฉาด แสงที่เข้ากันกับการแสดง เพลงที่สื่ออารมณ์ รวมไปถึงทุกๆอย่างจะต้องถูกจัดวางอย่างเหมาะสม สิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ ตัวนัำกแสดงจะต้องมีอารมณ์ขัน และความสนุกสนานที่เป็นหัวใจหลักของการแสดงถึงจะเกิด

#เรื่องราวต่อจากนี้เปิดเผยเนื้อหาที่สำคัญบางส่วน เราเตือนคุณแล้ว


หาข้อมูลมาได้ซักพัก กลับมาดูที่ตัวหนังกันบ้าง หนังกล่าวเด็กสาวคนหนึ่ง ชื่อว่า เอลี่ (ในซับไทยเขียนว่า อาีลี ดูแมนไปหน่อย..) (คริสตินา อากิเลรา) เข้าแอลเอมาเพื่อตามหาความฝัน ภาพของเมืองใหญ่ ตึกอาคารสูงที่เรียงราย ผ่านสายตาเราไปอย่างมากมาย จนความมืดเข้าปกคลุม สถานที่ที่จะปลุกฝันของสาวน้อยก็ตื่นขึ้น Burlesque บาร์แห่งหนึ่งที่จัดการแสดงโชว์ตระการตาทุกค่ำคืน เอลี่ได้ชมการแสดงที่สุดยอดของ เทส (แชร์) และสาวๆนักเต้นที่มีความสามารถ การแสดงจบลงด้วยความประทับใจ และ เอลี่ ตัดสินใจว่า จะต้องเป็นหนึ่งบนเวทีแห่งนี้ให้ได้ เอลี่ได้รู้จัก กับ แจ็ค (แคม จิกองเดท์) บาร์เทนเดอร์หนุ่มที่เขียนอายไลน์เนอร์ซะเข้มปึ้ด แจ็คแนะนำเอลี่ให้ไปคุยกะเทส แต่เทสปฏิเสธในแทบจะทันที เอลี่จึงตัดสินใจหยิบถาดเสิร์ฟ สมัครเป็นพนักงานเสิร์ฟสาวของ แจ็ค แบบมัดมือชกในทันที แจ็คจุกนิดๆเหมือนกัน แต่ทำไงได้ เลยปล่อยเลยตามเลย เพื่อที่จะให้ได้เข้าใกล้ความฝันอีกนิด เอลี่ พร้อมทำทุกอย่าง เอลี่ได้รู้จักกับ มาคัส (อีริค เดน) นักธุรกิจเจ้าเสน่ห์ ที่จ้องจะหุบ Burlesque และ นิกกี้ (คริสเท็น เบลล์) นักแสดงดาวเด่น แต่ขี้เมา ขี้วีน และไม่เป็นมิตรสุดๆ


หลังจากนั้นไม่นาน ห้องของเอลี่ โดนงัด เอลี่หมดตัว เหมือนสูญสิ้นทุกอย่าง ไม่มีครอบครัว ไ่ม่มีบ้าน ไม่มีเพื่อน ไม่รู้จะพึ่งใคร คนเดียวที่เอลี่พอจะเห็นความเป็นไปได้คือ แจ็ค จึงหอบข้าวหอบของไปร้องไห้หน้าบ้านแจ็คตามระเบียบ (แล้วเห้ย..ไปรู้จักที่อยู่บ้านแจ็คได้งัยเนี่ยะ) แจ็ค ยอดชายจึงให้ที่หลับที่นอน ตามฉบับนักบุญ และได้เปิดเผยว่า ตนเล่นเปียโน (เพราะนะ) และแต่งเพลงอยู่ซะด้วย ฉากแจ็คเล่นเปียโนผ่านกรอบเล็กๆ โดยที่มีเอลี่ นอนฟังและคุยด้วย อยู่ในห้อง ช่างน่ารักและโรแมนติกอะไรจะปาน แจ็คต้องพบกับเช้าที่สดใส โดยที่ เอลี่นุ่งน้อยห่มน้อย ทำอาหารเช้าให้ในครัว สีชุดของเอลี่ และลักษณะการแต่งตัว บอกได้เลยว่าเอลี่ไว้ใจ ผู้ชายคนนี้มากขนาดไหน จนกระทั่งได้รู้ว่า เค้าไม่ใช่ "เพื่อนสาว" แต่แมนเกินร้อย แถมมีคู่หมั้นแล้วอีกตะหาก นางเอกของเราทำอะไรไม่ถูก รีบใส่เสื้อผ้า ให้เต็มองค์โดยเร็ว เรื่องราวลงเอยโดยการแบ่งห้องพักกันอย่างชัดเจนของทั้งคู่



จนวันหนึ่ง เอลี่ ได้มีโอกาสโชว์ฝีมือการเต้นให้ เทส เห็นประจักษ์ และอ้อนวอนจนได้งานในที่สุด เกิดเหตุการณ์สำคัญ ที่ทำให้ เอลี่ ได้กลายเป็นดาวเด่นของ Burlesque ปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างช่วงเวลานี้คือ หนึ่งการที่ Burlesque ติดจำนอง และจำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก โดยที่เทสมีทางเลือกไม่มาก ถ้าหาเงินมาไม่ได้ ก็จำเป็นต้องขายให้ มาคัส สองความสัมพันธ์ระหว่างมาคัส และ เอลี่ เริ่มก่อตัวขึ้น ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของทุกฝ่าย และ สามความสับสนในความรู้สึกของ แจ็ค และ เอลี่




ตัวละครแต่ละตัวมีมิติมาก ไม่มีใครที่ดีมากจนไม่มีข้อเลว และไม่มีใครที่เลวมากจนไม่มีข้อดี เป็นหนังที่ดูได้ไม่มีเบื่อ มาคัส ไม่ใช่ตัวร้ายเค้าแค่มีความต้องการ เค้ามีภาวะทางการเงินที่สามารถทำสิ่งที่ต้องการได้ แต่เค้าก็เป็นสุภาพบุรุษ และยอมรับการตัดสินใจของ เอลี่ โดยไม่ได้บีบบังคับแต่อย่างใด ส่วน นิคกี้ เธอแค่เป็นตัวของตัวเอง แต่เธอรักที่จะเต้น ต้องการอยู่บนเวที และพร้อมที่จะขอโทษกับสิ่งที่ได้ทำลงไป โอกาสมีสำหรับคนที่พร้อมจะรับโอกาสเสมอ



เรามาพูดถึงการร้องเพลงในหนังเรื่องนี้กันบ้าง ตอนที่เพลงแรกเปิดตัวเทสจบลง เราอดไม่ได้ที่จะปรบมือ ไปกับการแสดง ไม่ใช่แค่การแสดงแรกการแสดงอื่นๆก็ด้วย ทุกการแสดงมีการเล่าเรื่องผ่านตัวละคร ผ่านเนื้อร้องของเพลง เหมือนกำลังฟังนิทานอยู่ก็ไม่ปาน สร้างความบันเิทิงแถมยังสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนดูอีกด้วย (เช่นเพลงของหมอฟัน ลอง จอห์น ^^) อีกฉากที่น่าประทับใจคือตอนที่ เทส ร้องเพลงซ้อมเดี่ยว ด้วยความเหนื่อย ความเศร้า ที่ออกมาจากเหตุการณ์ที่ต้องไปเผชิญมาทั้งวัน หนังได้จัดเต็มเพลงนี้มาทั้งเพลง แต่ไม่มีช่วงไหนเลยที่ไม่น่าฟัง แสงไฟสาดมาข้างหน้าของเทส สองขา สองแขน กางออกด้วยความพร้อมที่จะเผชิญ กับอุปสรรคไม่ว่าใดๆ เทสรู้ดีว่าเธอจะต้องผ่านพ้นมันไปได้



รวมไปถึงฉากร้องเพลงครั้งแรกของ เอลี่ คริสติน่า ทำได้สุดยอดมาก เป็นอะไรที่ไม่นึกฝันว่าเด็กสาวตัวแค่นี้จะมีพลังความสามารถมากมาย ล้นทะลักแบบไม่มีที่สิ้นสุดต้องยกย่องจริงๆ และเพลงสุดท้ายของหนัง ที่เป็นการประกาศศักดาการจบลงของหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ทุกคนมีชีวิตที่จะต้องก้าวทะยานต่อไป ขอเพียงแค่เราไม่ยอมแพ้ ความสำเร็จอยู่ไม่ใกล ไม่มีเพลงที่ยังแต่งไม่เสร็จอีกแล้ว เธอจะไม่ได้ฟังมันหรอกนะ แต่เธอจะได้ร้องมัน!! ตะโกนให้สุดเสียงเลยนะ!!

gqwagon

1 ความคิดเห็น: